วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จดหมาย....

จำได้ว่าเขียน blog ไว้ครั้งล่าและแรกสุดเมื่อประมาณชาติที่แล้ว ไม่ได้เขียนซะนานเพราะมัวแต่ทำอะไรอย่างอื่นที่มีและไร้สาระอยู่...

มาคราวนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี แค่รู้สึกว่า "อยากเขียน" ก็เท่านั้นเอง

มีคนเคยถามพร้อมกับประณามและหยามเหยียดว่าเราเป็นพวก 'ไดโนเสาร์เต่าล้านปี' ค่าที่ยังชอบเขียนจดหมาย คุยโทรศัพท์แทนที่จะออนเอ็ม ทวิต หรืออะไรต่อมิอะไรที่บรรดา 'คนสมัยใหม่' เขาทำกัน ก็คนมัน 'ชอบ' ใครจะทำไม

เขาถามต่อว่าทำไมถึงชอบเขียนจดหมายนัก ก็ 'จดหมายเป็นสื่อที่ไม่มีเวลา' น่ะสิ

1. จดหมายไม่สามารถถูกระบบลบทิ้งเมื่อเนื้อที่เต็ม
2. จดหมายอยากอ่านเมื่อไหร่ก็หยิบมาอ่านได้ (แต่หาให้เจอก็แล้วกัน)
3. จดหมายถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียนโดยผู้อ่านไม่ต้องกลัวว่าไอ้คนที่เขียนมามีตัวตนจริงหรือไม่ เพราะถ้าคุณไม่รู้จักเขา เขาไม่รู้จักคุณ.....แล้วจะเขียนหากันทำไม..ถูกรึไม่
4. จดหมายไม่ต้องกังวลว่าวันนี้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะล่มหรือไม่ล่ม ....แต่อาจจะต้องรอสักหน่อยถ้าผู้รับอยู่ไกล...หรือถ้าจดหมายหายระหว่างส่งอันนี้ก็...ตามที่ไปรษณีย์ ถ้าไม่เจอก็ตัวใครตัวมัน ...(เอ..อันนี้ท่าจะเป็นข้อเสียของจดหมาย..ก็เอาเถอะ..เรื่องเล็กน้อย)
5. จดหมายทำให้รู้สึกว่าการรอคอยมีค่าเสมอ โดยเฉพาะการรอคอยจดหมายสักฉบับจากใครคนหนึ่ง
6. จดหมายเป็นการสื่อสารที่เป็น privacy ที่สุด และไม่ต้องกลัว hacker ...ยกเว้นมีคนหาที่ซ่อนของจดหมายเจอ

จริงๆ มีข้อดีของจดหมายอีกหลายๆ อย่าง แต่แค่นี้พวกทวิต MSN ทำได้ถึง 2 ข้อรึเปล่าเหอะ...ถามหน่อย..

มีคนถามอีกเหมือนกันว่าเป็นไปได้ไหมที่การเขียนการส่งจดหมายหายไปจากโลก...เราว่าไม่หรอกตราบใดที่มนุษย์ยังคงต้องเขียน หรือใช้ภาษาเขียนอยู่ อย่างน้อยการส่งเมล์อิเล็คทรอนิคส์ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่เราไม่ได้เขียนมันลงในวัสดุรองเขียนเท่านั้นเอง...ยกเว้นมนุษย์เราจะสามารถสื่อสารกันทางโทรจิต!!!

เราเองก็เขียนจดหมายอยู่บ่อยๆ เขียนหาใครคนหนึ่งที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะเคยหยิบมันขึ้นมาอ่านบ้างไหม... ถึงมันจะเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่เราก็ยังคงรอคอยจดหมายหรือการ์ดเล็กๆ สักฉบับจากเขาคนนั้นอยู่ ซึ่งหวังว่าเราคงจะได้รับมันในสักวันหนึ่ง และเราก็คงยังเขียนจดหมายอยู่ต่อไป....

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

Short Films

หนังสั้น...เป็นสิ่งที่ฉันเคยคิดว่าชาตินี้คงมิอาจจะเข้าถึงได้ ก็หนังสั้นแต่ละเรื่องที่เคยผ่านตาฉันมาล้วนแล้วแต่เป็นหนังที่ใครๆ เขาเรียกกันว่า "หนัง art" ซึ่งมีความเป็นนามธรรมสูงมาก....จนฉันเข้าไม่ถึง (แม้จะพยายามอย่างไร...ก็ไม่ถึง) ถ้าเป็นประเภทที่มืออาชีพทำหนังสั้นก็มักจะมีอะไรๆ ที่เรียกว่า "ปรัชญา" แฝงอยู่มากมาย สะท้อนชีวิตสะท้อนสังคม แถมตอนจบยังต้องหักมุม ทำให้ฉันเข้าใจ (เอาเอง) ว่านี่แหละคือหนังสั้น

ทว่าวันนี้ฉันได้ประจักษ์กับ (ตา) ตัวเองว่าหนังสั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันเข้าใจเสมอไป... หนังสั้นที่เข้าใจง่ายๆ ก็มีถมเถ และไม่จำเป็นต้องเป็น artist ก็เข้าถึงได้

หนังสั้น 3 เรื่องที่ได้ดูในวันนี้เป็นผลงานของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งถ้าถามถึง production หรือตัวแสดงแล้วก็ต้องเข้าใจว่าเป็นผลงานชิ้นแรกของพวกเขา....อันนี้ไม่ได้คาดหวังเท่าไหร่ แต่!!!.... สิ่งที่พวกเขาคิดและซ่อนอยู่ในหนังสั้นทั้งที่ตั้งใจและบังเอิญนี่สิน่าคิด

เรื่องที่ 1 รัก...หลับ
เป็นเรื่องของนักศึกษาสาวไปเรียนวันแรกก็ถูกเพื่อนชวนไปเที่ยวกลางคืน พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ต่อมาทั้งสองตกลงเป็นแฟนกันแล้วก็มีอะไรกันตามสูตรของเด็กวัยรุ่นที่อยู่ไกลหูไกลตาผู้ปกครอง หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนอีก แต่คราวนี้เธอเมาจนไม่ได้สติมีผู้ชายพาเธอกลับบ้านไป ไม่นานปรากฏว่าเธอท้อง! เมื่อคิดไม่ตกก็คิดฆ่าตัวตายโชคดีที่เพื่อนพาส่งโรงพยาบาลได้ทัน ทันใดนั้นเธอก็ตื่นจากภวังค์แล้วปฏิเสธไม่ไปเที่ยวกลางคืน

ผู้กำกับของเรื่องบอกว่า ต้องการให้เรื่องนี้เป็นหนังน้ำดี มีทั้งมุมมืดและมุมสว่าง!!! นี่ไงที่ฉันทึ่ง

ที่บอกว่ามืดก็คือการตัดสินใจไปเที่ยวกลางคืนครั้งนั้นจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ท้อง หาทางออกไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย

ที่บอกว่าสว่างก็คือการคิดไตร่ตรองของนักศึกษาผู้นั้นก่อนที่จะตัดสินใจ (ถึงแม้ว่าจะจินตนาการไกลไปหน่อย) ทำให้ปฏิเสธที่จะไปเที่ยวกลางคืน

"รัก ก็คือความรักของหนุ่มสาวในเรื่อง....ส่วนหลับก็คือ ฝัน ถ้าฝันเห็นแต่ความสุขสุดท้ายก็จะทุกข์หนัก แต่ถ้าฝันเห็นทั้งสุขและทุกข์ก็จะมีสติชั่ง ตวง วัด ในสิ่งที่กำลังจะตัดสินใจได้" ผู้กำกับกล่าวปิดท้าย


เรื่องที่ 2 ส้วม
เป็นเรื่องของนักศึกษา (อีกนั่นแหละ) ที่อยู่ในหอพัก แต่นักศึกษาคนนี้คงเป็นคนที่เพื่อนๆ ไว้ใจ พอเวลาเพื่อนคนไหนมีปัญหาก็มักจะมาปรึกษาเธอ ไม่มีเงินก็มายืม แต่กับตัวเธอเองเวลามีปัญหากลับไม่รู้จะไปพูดกับใคร ที่ทำได้คือระบาย....ในห้องน้ำ (ก็ปลดทุกข์หนักนั่นแหละ)

ตัวละครเพื่อนๆ ของตัวเอกตัวนี้มีทั้งคนอิสาน คนเหนือ คนภาคกลาง "เด็กหอน่ะครับ มักจะมาจากต่างจังหวัด" ผู้กำกับอธิบายถึงที่มาของภาษาที่ตัวละครแต่ละตัวใช้ "เรื่องนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวของเราค่ะ" คนเขียนบทตอบ "พวกเราหลายคนก็เป็นแบบนี้ เหมือนเป็นกระโถนให้เพื่อนระบาย ....กระโถน...ยังไม่กระแทกความสนใจ ส้วมนี่ละเป็นที่ระบายของเสียได้ดีกว่ากระโถน ...พอเสร็จธุระแล้วก็ราดน้ำ....สะอาดดี...ฮา...


เรื่องที่ 3 The Exit
เรื่องนี้เล่าเรื่องด้วยภาพครับท่านผู้ชม บทบังคับให้ผู้ชมทำความรู้จักกับตัวละคร (ที่มีอยู่ตัวเดียว) ว่ามีอุปนิสัยอย่างไร ตัวละครนั่งนอนเป็น couch potato อยู่หน้าทีวีเปลี่ยนช่องอยู่นั่นแล้วก็ไม่มีอะไรดู เอ๊ะ...หรือว่าหิว เดินไปเปิดตู้เย็นหาของจะกินก็ไม่มีจึงขับรถไปซื้อ อ้าว..ลืมกระเป๋าสตางค์ก็ต้องขับรถกลับมาบ้าน หยิบกระเป๋าจากห้องนอนเอื้อมมือเปิดประตู

เปิดประตูห้องออกมาอีกทีดันเจอทุ่งนาเสียนี่!!! ไม่เป็นไรลองเปิดใหม่...สงสัยจะหิวจนตาลาย

อ๊ะ..อะไรนี่...ไม่ใช่บ้านตูนี่หว่า มีแต่กำแพงสีขาว ลองเปิดอีกทีเถอะวะ

เอ้ย...ห้องใครล่ะเนี่ย...แต่ห้องนี้มีหนังสือโป๊วางอยู่ 3 เล่ม อันนี้น่าสนใจว่ะ เอากลับไปห้องดีกว่า ไม่ปงไม่ไปมันแล้ว

ว่าแล้วชายหนุ่มก็นั่งมีความสุขกับตัวเองกับหนังสือโป๊ในมือ!!!

เสร็จกิจชายหนุ่มลองเปิดประตูห้องอีกที ....กลับมาสู่โลกเดิม เขาจุดบุหรี่สูบด้วยความสุข ความหิวเมื่อครู่ปราศนาการไปเรียบร้อยแล้ว....

"ผมว่าคนเรามีวิถีชีวิตแบบ กิน ขี้ ... (เซ็นเซอร์) นอน บางทีเราไม่รู้หรอกว่าที่เราเซ็ง หรือหิวข้าว หรืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้ๆ .... sex ก็สามารถช่วยให้เราหาทางออกได้เหมือนกัน" โปรดิวเซอร์บอก ... และนี่คือที่มาของ exit

แน่นอนมีอะไรๆ ให้เราคิดมากมายจากการดูหนังสั้น 3 เรื่องนี้ มันสร้างมาจากชีวิตจริง....ชีวิตประจำวันของเรา มองในมุมมองมุมเก่าเรื่องหนังสั้นของฉันมันก็เป็นปรัชญา มุมกล้องเล่าเรื่องก็เป็น art สะท้อนชีวิต...มีการหักมุมทุกเรื่องเล้ย...ยยย

โอ้วพระเจ้าจอร์จ... นี่มันหนังสั้นนี่